โดย พุทธพงษ์ เจียมรัตตัญญู
ที่มา: จดหมายข่าวหอภาพยนตร์ ฉบับที่ 69 ประจำเดือน พฤษภาคม - มิถุนายน 2565
เขามีชื่อเดิมว่า พิทยา เทียมเศวต และมีชื่อสุดท้ายว่า กรีพงศ์ แต่ชื่อที่สร้างให้เขาเป็นตำนาน และเป็นชื่อที่ครั้งหนึ่ง เมื่อเอ่ยถึงแล้วแทบไม่มีใครในประเทศไม่รู้จัก คือ สรพงศ์ ชาตรี ชื่อการแสดงของบุรุษผู้ที่ยึดงานศิลปะแขนงนี้เป็นอาชีพมาตลอดทั้งชีวิต
“สมัยเราอยู่บ้านนอกดูหนังกลางแปลง พระเอกแต่ละคนเท่มากเลยนะ ใส่เสื้อแดง สะพายเป้ หวีผม ดู ทักษิณ แจ่มผล ดูใครต่อใคร นี่เท่มากเลย แต่บังเอิญว่าสรพงศ์ไม่ค่อยได้เล่นหนังสไตล์นั้น อยู่กับท่านมุ้ย ท่านมุ้ยให้เล่นเป็นคน ไม่ได้ให้เป็นพระเอก มันมากับความมืดเป็นนักวิทยาศาสตร์ เขาชื่อกานต์เป็นหมอ เทพธิดาโรงแรมเป็นแมงดา ความรักครั้งสุดท้ายดีดกีตาร์เป็นวัยรุ่น เทวดาเดินดินเป็นโจร เดี๋ยวเป็นพระ เดี๋ยวเป็นหมอ เดี๋ยวเป็นตำรวจ ท่านมุ้ยไม่ได้ให้สรพงศ์เป็นพระเอก ท่านมุ้ยบอก กูให้มึงเป็นนักแสดง”
จากสามเณรสู่ดาราตุ๊กตาทอง
ภาพ: ภาพยนตร์ มันมากับความมืด
สรพงศ์ ชาตรี เกิดเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2492 ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา หลังจบ ป. 4 ด้วยความที่ไม่ชอบเรียนหนังสือ มารดาจึงส่งไปบวชเณร ขณะอายุได้ 11 ปี ก่อนจะเดินทางเข้ามาศึกษาธรรมะเพิ่มเติมที่วัดดาวดึงษาราม กรุงเทพมหานคร ในอีก 2 ปีต่อมา
เมื่อย่างเข้าสู่วัยรุ่น แม้ผ้าเหลืองจะยังคงห่มเขาไว้ในโลกพระธรรมจนสอบได้นักธรรมเอก แต่บรรยากาศของเมืองหลวงกลับดึงดูดให้เขาว่อกแว่กไปกับรูปภาพดารา หนังกลางแปลง และกองถ่ายหนังที่ชอบไปมุงดู ที่สุดแล้วจึงตัดสินใจให้เณรรุ่นพี่ที่รู้จักกับคนในวงการภาพยนตร์พาไปฝากตัวเพื่อทำงานในวงการ และตัดสินใจหยุดชีวิตใต้ร่มกาสาวพัสตร์ในวัย 19 ปี
ราวปี พ.ศ. 2511 ก้าวแรกบนถนนภาพยนตร์ของสามเณรสึกใหม่ได้เริ่มต้นขึ้น โดยนับหนึ่งจากงานเบื้องหลังของเบื้องหลังอีกที นั่นคือการกางร่มให้กล้องถ่ายภาพยนตร์ เพื่อป้องกันไม่ให้ฟิล์มร้อนเกินไป นอกจากนี้ยังทำหน้าที่เป็นคนยกรีเฟล็กซ์ เสิร์ฟน้ำ และเข้าฉากเป็นตัวประกอบเล็ก ๆ น้อย ๆ เวลาที่ขาดนักแสดง
ปี 2512 ในยุคที่ภาพยนตร์ 16 มม. กำลังเฟื่องฟู เขาได้ร่วมแสดงเป็นตัวประกอบอยู่หลายเรื่อง แต่จุดเปลี่ยนสำคัญจริงๆ เกิดขึ้นเมื่อได้รู้จักกับ สุรพงศ์ โปร่งมณี แมวมองจากบริษัทละโว้ภาพยนตร์ ของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอนุสรมงคลการ ต่อมา สุรพงศ์ได้นัดหมายพาเขาไปแนะนำตัวกับพระโอรสของพระองค์ หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล หรือ “ท่านมุ้ย” ที่เพิ่งกลับจากต่างประเทศ และกำลังถ่ายทำภาพยนตร์โทรทัศน์เรื่อง หญิงก็มีหัวใจ
เมื่อถึงวันนัด เด็กหนุ่มจากอยุธยาผู้ยังคงกินนอนอยู่ที่วัด ลงทุนซื้อเสื้อใหม่ และผูกเนกไทเพื่อให้ตัวเองดูดีที่สุด ทว่า เมื่อแนะนำตัวเสร็จสรรพ ท่านมุ้ยกลับรับสั่งให้เขาเข้าฉากกระโดดน้ำไปช่วยเด็กหญิงวัย 3 ขวบ แสดงโดย ตุ๊กตา จินดานุช ชุดใหม่เอี่ยมนั้นจึงเปียกชุ่มไปทั้งตัวอย่างรวดเร็ว แต่ก็แลกมาด้วยการแสดงเพียง 1 คัตที่ได้เปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาล
จากตัวประกอบ ท่านมุ้ยเริ่มมอบบทเด่นขึ้นให้เขาในหนังโทรทัศน์เรื่องอื่น ๆ เช่น บทผู้ร้ายใน ห้องสีชมพู บทผู้ช่วยใน หมอผี จนกระทั่งปี 2514 เมื่อทรงเตรียมกำกับภาพยนตร์ 35 มม. ขนาดยาวเรื่องแรก ชื่อ มันมากับความมืด จึงได้มอบหมายให้เขาเป็นพระรอง ประกบกับ ไชยา สุริยัน พระเอกระดับสามรางวัลตุ๊กตาทอง และนางเอกหน้าใหม่ นัยนา ชีวานันท์
ภาพ: ภาพยนตร์ มันมากับความมืด
แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ระหว่างถ่ายทำได้เกิดปัญหาจนทำให้ท่านมุ้ยตัดสินใจเลื่อนเขาขึ้นมาเป็นพระเอกแทนไชยา ท่ามกลางเสียงคัดค้านจากหลายฝ่าย รวมไปถึงตัวผู้รับบทเอง ที่ทั้งมองว่าตนยังไม่พร้อมแสดง และรูปร่างหน้าตาไม่ตรงกับขนบของพระเอกหนังไทย แต่ท่านมุ้ยยังคงยืนยันพร้อมประกาศว่า จะทำให้เขาได้ตุ๊กตาทองมากกว่า ไชยา สุริยัน ให้ได้
นอกจากจะกลายเป็นพระเอกอย่างไม่ทันตั้งตัว นี่ยังเป็นช่วงที่เขาได้รับชื่อใหม่ว่า “สรพงศ์ ชาตรี” เพื่อใช้เป็นชื่อในการแสดง โดยเกิดจากการนำคำว่า สร จากพระนามของพระองค์เจ้าอนุสรมงคลการ รวมกับ พงศ์ ของ สุรพงศ์ โปร่งมณี และนามสกุล ชาตรี จากพระนามของท่านมุ้ย
ปี 2514 เป็นปีแรกที่วงการภาพยนตร์ไทยไม่มี มิตร ชัยบัญชา พระเอกหมายเลขหนึ่งผู้เสียชีวิตในปีก่อนหน้า จึงเกิดการปั้นพระเอกหน้าใหม่ขึ้นมาพร้อมกันอย่างมากมายในปีเดียวกัน เช่น กรุง ศรีวิไล, นาท ภูวนัย, ไพโรจน์ ใจสิงห์, ยอดชาย เมฆสุวรรณ ฯลฯ แต่เมื่อ มันมากับความมืด ออกฉายและไม่ประสบความสำเร็จ ซ้ำปีถัดมาเขามีผลงานแค่เพียงเรื่องเดียว คือ ไอ้แกละเพื่อนรัก ของละโว้ภาพยนตร์ ชื่อของ สรพงศ์ ชาตรี จึงดูเหมือนว่าจะไม่อาจแจ้งเกิดได้เหมือนเพื่อนพระเอกร่วมรุ่น
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางกระแสลมแห่งความเปลี่ยนแปลงที่พัดผ่านเข้าสู่วงการหนังไทย หนังฟิล์ม 16 มม. หมดลมหายใจไปพร้อมกับเนื้อหาที่ซ้ำซากจำเจ เปลี่ยนผ่านสู่ระบบฟิล์ม 35 มม. และผู้ชมที่เริ่มเปิดรับสิ่งใหม่ ๆ มากขึ้น ปี 2516 สรพงศ์ได้รับบทนำใน เขาชื่อกานต์ ผลงานเรื่องที่สองของท่านมุ้ย แต่เป็นหนังไทยเรื่องแรก ๆ ที่กล่าวถึงปัญหาสังคม ภาพยนตร์กลับประสบความสำเร็จในหลายด้าน ทั้งสร้างปรากฏการณ์ที่ทำให้คนรุ่นใหม่หันกลับมาสนใจหนังไทย และขับให้ สรพงศ์ ในบทหมอหนุ่มผู้ยืนหยัดในอุดมการณ์ได้เป็นที่รู้จักอย่างเต็มตัว
จากความสำเร็จใน เขาชื่อกานต์ สรพงศ์ได้รับบทเด่นหลากหลายทั้งดีและร้ายในภาพยนตร์ของท่านมุ้ยอย่างต่อเนื่อง เช่น เทพธิดาโรงแรม (2517) ความรักครั้งสุดท้าย (2518) เทวดาเดินดิน (2519) ฯลฯ ในขณะเดียวกัน เขายังได้แสดงให้ผู้กำกับคนอื่น เรื่องที่โดดเด่นที่สุดคือหนังชีวิตหนัก ๆ อย่าง สัตว์มนุษย์ (2519) ของ วินิจ ภักดีวิจิตร และ ชีวิตบัดซบ (2520) ของ เพิ่มพล เชยอรุณ ซึ่งได้พิสูจน์ว่าคำประกาศของท่านมุ้ยใกล้เป็นจริง เพราะทำให้ สรพงศ์ ชาตรี จากตัวประกอบนิรนาม ได้กลายเป็นผู้รับรางวัลตุ๊กตาทอง สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ถึงสองปีติดต่อกัน