บันทึกความทรงจำ (หรือ memoir – เมมัวร์) คือหนังสือที่ผู้เขียนเล่าเรื่องเศษเสี้ยวของชีวิตตัวเองในลักษณะกึ่งไดอะรี ใกล้เคียงกับหนังสืออัตชีวประวัติ (autobiography) ซึ่งอย่างหลังมีความจริงจังและครอบคลุมเนื้อหามากกว่า งานเมมัวร์ที่อยากแนะนำสำหรับคอลัมน์ในเดือนนี้ เป็นหนังสือสองเล่มที่เพิ่งเข้ามาใหม่ในห้องสมุดฯ เชิด ทรงศรี เป็นข้อเขียนทรงคุณค่าของสองนักทำหนังนักบุกเบิกของโลก ได้แก่ อลิซ กีย์ บลาเช่ ผู้กำกับหญิงคนแรกของโลกตั้งแต่สมัยปลายศตวรรษที่ 19 หรือพร้อม ๆ กับการกำเนิดภาพยนตร์ในโลก และ แวร์เนอร์ แฮร์โซก ผู้กำกับชาวเยอรมันที่มีผลงานเลื่องลือต่อเนื่องยาวนานมากว่าครึ่งศตวรรษ
The Memoirs of Alice Guy Blaché
“มีคนชอบถามฉันว่า ทำไมถึงเลือกทำงานที่ดูไม่เป็นผู้หญิงเอาเสียเลย แต่เรื่องของเรื่องคือฉันไม่ได้เลือกอาชีพนี้ ชะตาชีวิตของฉันถูกร้อยเรียงตั้งแต่ก่อนฉันเกิด และฉันเพียงแค่เดินตามพลังแห่งความหมายมั่นที่ฉันเองก็เรียกชื่อไม่ถูก ชีวิตนี้ช่างน่าประหลาดนัก!”
อลิซ กีย์ บลาเช่ อาจไม่ใช่ชื่อคุ้นหูสำหรับคนดูหนังทั่วไป แต่เธอคือบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ในฐานะผู้กำกับหญิงคนแรกของโลก และเป็นคนทำหนังคนแรก ๆ ที่ใช้ภาพยนตร์เพื่อ “เล่าเรื่อง” ผ่านการแสดงและการเขียนสคริปต์ ซึ่งแตกต่างจากหนังในยุคแรกที่ใช้กล้องเพียงแค่บันทึกภาพหรือถ่ายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า
หนังสือ The Memoirs of Alice Guy Blaché เล่มนี้ตีพิมพ์เป็นภาษาฝรั่งเศสในปี 1976 หรือแปดปีหลังจากที่เธอเสียชีวิตในวัย 95 ปี และถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษโดยทายาทสองคนของเธอ โรแบร์ตา และ ซีโมน บลาเช่ นี่คือหนังสือที่นักประวัติศาสตร์ภาพยนตร์น่าจะถูกใจ ด้วยเพราะผู้เขียนพาเรากลับไปสู่ปลายศตวรรษที่ 19 อันเป็นยุคของนักประดิษฐ์ นวัตกรรม งานสร้างสรรค์ เต็มไปด้วยบุคคลในยุโรปที่มีชื่อคุ้นหูในวงการต่าง ๆ ต่อเนื่องเข้าสู่ช่วง Belle Époque หรือยุคแห่งความเรืองรองของฝรั่งเศสในช่วงรอยต่อของสองศตวรรษ ท่ามกลางบรรยากาศแห่งความน่าตื่นเต้นนี้ หญิงสาวฝรั่งเศสคนหนึ่งกลายเป็นผู้มีบทบาทในการวิวัฒนาการเล่าเรื่องผ่านเครื่องประดิษฐ์ชิ้นใหม่ที่เรียกว่าภาพยนตร์
“ผู้ชายนักประดิษฐ์ในยุคนั้น หมกมุ่นกับกลไกและการทำงานของกล้องถ่ายหนัง แต่ไม่สนใจว่าสิ่งประดิษฐ์ใหม่นี้สามารถสร้างความบันเทิงหรือมีคุณค่าทางการศึกษาอย่างไร”
กีย์ บลาเช่ เขียนหนังสือเล่มนี้เหมือนกำลังเล่าเรื่องครั้งอดีตให้ลูกหลานฟัง เริ่มตั้งแต่ประวัติครอบครัวของเธอ ซึ่งเป็นคนฝรั่งเศสที่อพยพไปแสวงโชคที่ชิลีตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 19 ก่อนที่แม่ของเธอจะกลับมายังฝรั่งเศสเพื่อคลอดเธอ เมื่อโตเป็นสาว กีย์ บลาเช่ เริ่มงานเป็นเลขาในโรงงาน ทำหน้าที่พิมพ์ดีดและจดบันทึก จุดเปลี่ยนมาถึงในปี ค.ศ. 1895 เมื่ออาจารย์ของเธอแนะนำให้ไปสมัครงานกับบริษัทผลิตกล้องถ่ายภาพ ซึ่งกำลังเป็นนวัตกรรมที่ได้รับความนิยมมากในยุโรปช่วงนั้น ที่บริษัทนี้เธอกลายเป็นเลขาของ ลีอง โกมองต์ อีกหนึ่งบุคคลสำคัญในวงการหนังฝรั่งเศสยุคแรก วันหนึ่งในปีเดียวกัน เพื่อนของโกมองต์สองคนเดินทางมาเยี่ยมและชวนให้ไปร่วม “การเปิดตัวกล้องใหม่” “กล้องอะไรหรือ” โกมองต์ถาม “มันเป็นความลับ” เพื่อนของเขาตอบ เพื่อนที่ว่าคือ หลุยส์ และ ออกุสต์ ลูมิแอร์ เมื่อ กีย์ บลาเช่ ไปร่วมงานดังกล่าว เธอเป็นหนึ่งในประจักษ์พยานการฉายหนังครั้งแรกของโลกของสองพี่น้องลูมิแอร์ ในวันที่ 28 ธันวาคม ค.ศ. 1895
ประเด็นที่น่าสนใจคือ ผู้ชายนักประดิษฐ์ในยุคนั้น ทั้งลูมิแอร์ โกมองต์ และคนอื่น ๆ หมกมุ่นกับกลไกและการทำงานของกล้องถ่ายหนัง แต่ไม่สนใจว่าสิ่งประดิษฐ์ใหม่นี้สามารถสร้างความบันเทิงหรือมีคุณค่าทางการศึกษาอย่างไร กีย์ บลาเช่ มองเห็นศักยภาพทางศิลปะของกล้อง และขออนุญาตโกมองต์ลองถ่ายหนังที่ใช้คนแสดงและมีการเขียนสคริปต์ อันเป็นจุดเริ่มต้นของการกลายเป็นผู้กำกับและคนทำหนังของเธอ หนังเรื่องแรกของเธอคือหนังแฟนตาซีชื่อ La fée aux choux ในปีค.ศ. 1896 จากนั้นเธอถ่ายหนังสั้นที่ใช้คนแสดงอีกนับร้อยเรื่องในช่วงทศวรรษแรกของศตวรรษที่ 20
หนังสือเล่มนี้ยังแสดงให้เห็นว่า ผู้หญิงทำหนังในยุคแรกต้องสลับบทบาทในการงานอาชีพกับการเป็นแม่บ้าน อันเป็นสิ่งที่ศิลปินหญิงจำนวนไม่น้อยหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใดก็ตาม
Werner Herzog: Every Man for Himself and God Against All, A Memoir
ชื่อนี้ไม่ต้องการคำแนะนำ แฮร์โซกคือคนทำหนังเยอรมันที่เป็นที่รู้จักทั่วโลกมาหลายสิบปี ด้วยหนังที่หนักหน่วงในเนื้อหาและประเด็น ความสนใจที่หลากหลาย ความขยันทำหนังไม่หยุดหย่อนในสถานที่ต่าง ๆ ทั่วโลก และเรื่องราวของความบ้าคลั่งเบื้องหลังการถ่ายทำอันกลายเป็นตำนาน
แฟนของแฮร์โซกไม่ควรพลาดหนังสือเล่มนี้ด้วยประการทั้งปวง เพราะถึงแม้เขาจะเคยเขียนหนังสือมาก่อนหลายเล่ม แต่ Every Man for Himself and God Against All รวบรวมเรื่องราวและประสบการณ์ชีวิตหลากหลาย รวมถึงกอสซิปและเรื่องเล่าหลังฉาก อีกทั้งแนวคิด วิธีการ และสิ่งที่หล่อหลอมให้แฮร์โซกเป็นมนุษย์อย่างที่เขาเป็น
แฮร์โซกเปิดเผยวัยเด็กของเขาในแคว้นบาวาเรีย ชีวิตที่แร้นแค้นหลังสงครามโลก รวมทั้งการที่พ่อแม่ของเขาเคยเป็นสมาชิกพรรคนาซีที่เชื่อถือในฮิตเลอร์ เขาบรรยายประสบการณ์ตอนนั้นด้วยลีลาและภาษาของคนทำหนัง ผสมผสานความรู้สึกตรงหน้าเข้ากับภาษาที่ชวนให้สร้างภาพ เช่นที่เขาบรรยายช่วงเวลาที่ไปนอนโรงพยาบาลและมีพยาบาลมาแจกส้ม ซึ่งเป็นสิ่งที่แฮร์โซกไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต
เรื่องเล่าที่นักดูหนังคงอยากฟัง คือเมื่อแฮร์โซกเล่าถึงครั้งแรกที่เขาเจอ เคลาส์ คินสกี ผู้ที่ต่อมากลายเป็นดาราในหนังระดับตำนานของแฮร์โซกอย่าง Aguirre, The Wrath of God และ Fitzcarraldo “เคลาส์เหมือนพ่อของผม ตรงที่ว่าเขาไม่เคยใส่เสื้อผ้าเวลาอยู่บ้าน เขาคิดว่าเสื้อผ้าเป็นความหน้าไหว้หลังหลอกของอารยธรรม เพราะมันทำให้มนุษย์ไม่สามารถเข้าถึงธรรมชาติได้” เรื่องราวความบาดหมางระหว่างแฮร์โซกและคินสกีระหว่างการถ่ายทำหนังสุดหฤโหดเป็นสิ่งที่เราอาจเคยได้ยินได้ฟังมาในหลายวาระ แต่จากปากคำของแฮร์โซกเอง เรื่องเล่าเหล่านี้ (และเกร็ดอื่น ๆ) กลับยิ่งทรงพลังและทำให้เรามองเห็นความซับซ้อนในความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ยิ่งขึ้น
หนังสือเล่มนี้ไม่ได้เรียงลำดับเวลา แฮร์โซกแวะเวียนไปเล่าเรื่องราวและประสบการณ์ต่าง ๆ ทั้งชีวิตของเขาที่มิวนิก ความสนใจในถ้ำ การเดินทางไปยังเปรู เรื่องภรรยาและลูกของเขา ความสนใจในดนตรี มีบทหนึ่งที่ว่าด้วยการสะกดจิต อีกบทว่าด้วยเพื่อน (“ผมไม่มีเพื่อนมากนัก คุณอาจจะเรียกว่าเป็นคนโดดเดี่ยวก็ได้”) เรื่องราวหลากหลายเหล่านี้อาจทำให้หนังสือดูไร้ระเบียบ ไม่มีแกนกลาง แต่แท้จริงแล้วคุณลักษณะนี้ถูกยึดโยงเข้าด้วยกันจากน้ำเสียงของแฮร์โซก น้ำเสียงที่ทำให้เรานึกถึงหน้าตาอันจริงจัง เต็มไปด้วยริ้วรอยที่ชีวิตและการผจญภัยฝากเอาไว้ ดังที่ชื่อหนังสือว่าไว้ แฮร์โซกเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนต่างต้องฝ่าฟันเพื่อตัวเอง โดยมีพระเจ้าคอยขวางทางไม่ให้ทุกสิ่งทุกอย่างง่ายเกินไป ชีวิตของเขาเองกลายเป็นหลักฐานของชะตากรรมที่ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้
"เขาบรรยายประสบการณ์ตอนนั้นด้วยลีลาและภาษาของคนทำหนังผสมผสานความรู้สึกตรงหน้าเข้ากับภาษาที่ชวนให้สร้างภาพ"
_______________________________
โดย ก้อง ฤทธิ์ดี
ที่มา: จดหมายข่าวหอภาพยนตร์ ฉบับที่ 89 ประจำเดือนกันยายน - ตุลาคม 2568