จากความฝันสู่ความจริง: เรือใต้น้ำไทยในประวัติศาสตร์และภาพยนตร์

แนวคิดสร้างเรือดำน้ำเริ่มมีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17-18 โดยนักประดิษฐ์หลายชาติทดลองสร้างเรือดำน้ำต้นแบบเพื่อใช้ทางทหาร แม้หลายลำจะยังไม่ประสบความสำเร็จในการปฏิบัติการรบ แต่เป็นรากฐานให้เกิดการพัฒนาต่อมาในศตวรรษที่ 19 การทดลองส่วนใหญ่ยังใช้แรงคนหรือไอน้ำเป็นพลังขับเคลื่อน และมีข้อจำกัดด้านระยะทาง ความเร็ว และความลึก


ในสงครามกลางเมืองอเมริกา (ค.ศ. 1861-1865) มีความพยายามสร้างเรือดำน้ำเพื่อใช้ทางทหาร ฝ่ายสมาพันธรัฐประสบความสำเร็จด้วย H.L. Hunley เป็นเรือดำน้ำลำแรกที่สามารถจมเรือรบศัตรูได้เมื่อ ค.ศ. 1864 ต่อมา USS Holland (SS-1) ของสหรัฐฯ เข้าประจำการใน ค.ศ. 1900 ถือเป็นต้นแบบเรือดำน้ำสมัยใหม่ ระบบขับเคลื่อนเครื่องยนต์ดีเซลบนผิวน้ำ และมอเตอร์ไฟฟ้าใต้น้ำ ประเทศที่มีกองทัพเรือชั้นนำต่างเริ่มสั่งสร้างเรือดำน้ำเข้าประจำการ และจากสงครามโลกทั้งสองครั้ง เรือดำน้ำมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในสมรภูมิทางทะเล ส่งผลให้ยิ่งเกิดการพัฒนาศักยภาพเรือดำน้ำอย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้นสำหรับประเทศสยามแล้ว เหตุการณ์ที่ฝรั่งเศสละเมิดอำนาจอธิปไตยใน พ.ศ. 2436 โดยส่งเรือรบ 2 ลำผ่านสันดอนแม่น้ำเจ้าพระยาฝ่าการต่อต้านมาจนถึงกรุงเทพฯ รวมถึงส่งเรือรบตามมาปิดอ่าวไทยอีก 8 ลำ เป็นแรงผลักดันให้ พลเรือตรี พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ เป็นแกนนำจัดทำ “โครงการจัดสร้างกำลังทางเรือ พ.ศ. 2453” โครงการนั้นได้กำหนดให้มี “เรือ ส” (เรือ ส ย่อมาจาก สับมารีน) จำนวน 6 ลำ


แต่โครงการนั้นมิได้เกิดขึ้น เนื่องจากผู้เสนอต้องออกจากราชการไปในช่วงเวลาหนึ่ง ต่อมา พ.ศ. 2458 สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมขุนสงขลานครินทร์ เสด็จกลับจากการศึกษาวิชาการทหารเรือจากประเทศเยอรมนี และเข้ารับราชการในกระทรวงทหารเรือ พระองค์ทรงสนพระทัยเรือดำน้ำเป็นพิเศษ และเคยได้รับรางวัลการออกแบบเรือดำน้ำในระหว่างการศึกษา หลังเข้ารับราชการไม่นานก็ได้เสนอรายงานแผนการเรือดำน้ำโดยละเอียด ทั้งด้านงบประมาณและขีดความสามารถในปฏิบัติการป้องกันอ่าวไทย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสนพระราช-หฤทัย และได้ทรงพระราชนิพนธ์ ร.ต.ล.นนทรี ใน พ.ศ. 2459 ทรงเรียกเรือประเภทนี้ในหนังสือพิมพ์รายเดือนสมุทรสาร ฉบับเดือนมิถุนายน 2459 ว่า “เรือใต้น้ำ” ต่อมาในเดือนธันวาคม 2460 ทรงติดต่อกับกองทัพเรืออังกฤษ ขออนุญาตให้นายทหารเรือไทยได้เข้าศึกษาการใช้เรือดำน้ำในกองทัพเรืออังกฤษ และได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ นาวาตรี หลวงหาญสมุทร เข้าศึกษาจนสำเร็จเป็นคนแรก และพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ให้ไปประจำการในกองเรือดำน้ำแห่งกองทัพเรืออังกฤษ


อย่างไรก็ตาม ในขณะนั้นเป็นเวลาระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 คำสั่งจ้างผลิตหรือสร้างเรือประสบกับความยากลำบาก เนื่องจากบริษัทต่อเรือต้องจัดสร้างเรือให้ประเทศของตนใช้ในสงครามก่อน เรือใต้น้ำในประจำการกองทัพไทยจึงกลายเป็นความฝันที่ยังค้างอยู่ในช่วงเวลานั้น

ภาพยนตร์ในคอลัมน์คลังอนุรักษ์ฉบับนี้นำเสนอเหตุการณ์บางส่วนที่เกี่ยวข้องกับความฝันเรื่องเรือดำน้ำของกองทัพเรือไทยจนวันที่ความฝันกลายเป็นจริง แม้จะบันทึกเพียงบางช่วงเวลา แต่ก็ช่วยให้ผู้ชมเห็นภาพเหตุการณ์และบริบทในช่วงเวลานั้น


พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสสิงคโปร์ ชวา บาหลี ม้วน 17 
(ฟิล์ม 16 มม. / ขาว-ดำ / เงียบ 15 นาที)


ภาพ: คณะตามเสด็จฯ ไต่ขึ้นจากเรือดำน้ำดัตช์


ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ระหว่างเสด็จประพาสสิงคโปร์ ชวา บาหลี ในช่วงท้ายของการเสด็จประพาส คือในวันที่ 4 ตุลาคม 2472 พระองค์ได้เสด็จเมืองซูราบายา มีบันทึกในจดหมายเหตุพระราชกิจรายวันว่า หลังเสร็จพิธีต้อนรับบนเรือพระที่นั่งซึ่งทอดสมออยู่หน้าเมืองซูราบายาแล้ว ผู้บังคับการทหารเรือเชิญเสด็จลงเรือของกองอากาศยาน เสด็จไปโรงงานของกรมอากาศยาน และฐานทัพเรือ (Naval base of Surabaya) ณ บริเวณอู่แห้งลอยน้ำ (dry dock) “ทรงทอดพระเนตร์เรือใต้น้ำ เดิมผู้บังคับการทหารเรือจะเชิญเสด็จฯ ลงในเรือและแล่นไปใต้น้ำด้วย แต่พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าไตรทศประพันธ์ เสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศไม่ทรงเห็นพ้องด้วย เนื่องจากยังไม่ได้ประชุมปฤกษาเสนาบดีสภา จึงบอกปัดไปตามอัธยาศัยดีที่สุด เพราะฉะนั้นจึงเสด็จฯ ลงไปทอดพระเนตร์เครื่องจักรในเรือเท่านั้น แล้วเสด็จทอดพระเนตร์โรงงานทำเครื่องจักรและลูกระเบิดตอร์ปิโด เครื่องประดาน้ำ และเครื่องช่วยผายปอดคนจมน้ำ ทรงถ่ายภาพยนต์ประดาน้ำที่สวมเครื่องดำน้ำแล้วประทับรถยนต์พระที่นั่งทอดพระเนตร์สถานที่ต่าง ๆ ในบริเวณฐานทัพเรือ…”



ภาพ: คณะตามเสด็จฯ ไต่ขึ้นจากเรือดำน้ำดัตช์


ภาพ: คณะตามเสด็จฯ ไต่ขึ้นจากเรือดำน้ำดัตช์


เฉพาะช่วงของการเสด็จเยี่ยมชมเรือดำน้ำในภาพยนตร์เรื่องนี้มีความยาวเพียง 1.35 นาที แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความสนพระราชหฤทัยในเรือดำน้ำ แม้กองทัพเรือไทยยังไม่ได้มีโอกาสบรรจุเรือดำน้ำมาเข้าประจำการในรัชสมัยของพระองค์

งานฉลองรัฐธรรมนูญ 2476
(ฟิล์ม 16 มม. / ขาว-ดำ / เงียบ 5.05 นาที)


ภาพ: เรือดำน้ำปลอม ตกแต่งจากเรือผิวน้ำในขบวนแห่ฉลองรัฐธรรมนูญทางน้ำ 2476


หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง กระทรวงทหารเรือซึ่งยุบไปรวมกับกระทรวงกลาโหมในช่วงปลายรัชกาลที่ 7 ได้แยกออกมาเป็นกรมทหารเรือ หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองเพียง 8 วัน และเปลี่ยนชื่อเป็นกองทัพเรือในปีต่อมา

ในงานฉลองรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2476 ประชาชนหลั่งไหลกันมาชมงานขบวนแห่ขององค์กรและหน่วยงานต่าง ๆ ของภาครัฐและเอกชน ขบวนรถยุทโธปกรณ์เคลื่อนผ่านฝูงชน ตามด้วยรถแห่พานรัฐธรรมนูญจำลอง ขบวนแห่ที่ทำเป็นเรือรบ ขบวนแห่ที่จำลองระเบิดตอร์ปิโด ตามด้วยขบวนแฟนซี ส่วนที่แม่น้ำเจ้าพระยาผู้คนขึ้นไปเยี่ยมชมเรือรบที่ทอดสมออยู่ริมฝั่ง ขบวนเรือและเครื่องบินทุ่นลอยน้ำเป็นขบวนแห่ทางน้ำ ในขบวนปรากฏเรือรูปทรงสัณฐานคล้ายเรือดำน้ำเคลื่อนผ่านไปด้วย แท้จริงคือเรือผิวน้ำซึ่งตกแต่งรูปทรงภายนอกเป็นเรือดำน้ำปลอม ที่น่าจะแสดงให้เห็นถึงความสนใจของผู้คนและความฝันที่ยังดำรงอยู่ในช่วงเวลานั้นของกองทัพเรือไทย


รั้วใหม่ทางทะเล เรือดำน้ำ แห่งราชนาวีสยาม กิจวัตรของทหารเรือดำน้ำไทยในญี่ปุ่น [พิธีปล่อยเรืออันรุ่งเรืองสดใส] 
(ฟิล์ม 16 มม. / ขาว-ดำ / เงียบ 45 นาที)


ภาพ: นักเรียนเรือดำน้ำไทยซ้อมยิงตอร์ปิโด

ในวันที่ 9 เมษายน 2478 นาวาเอก หลวงสินธุสงครามชัย เสนาธิการทหารเรือได้แถลงต่อกรรมการพิจารณาโครงการบำรุงกองทัพเรือ ว่ามีแผนจะสร้างเรือดำน้ำ 3 ลำ หากเงินเหลือพอจะเพิ่มเป็น 5 ลำ หลังจากนั้นบริษัทตัวแทนของอู่ต่อเรือจากประเทศต่าง ๆ ได้เริ่มเสนอราคาในเดือนตุลาคม ประกอบด้วย บริษัทจากอิตาลี ญี่ปุ่น อังกฤษ เดนมาร์ก ฮอลแลนด์ และฝรั่งเศส 

บริษัทมิตซูบิชิของญี่ปุ่นเสนอราคาต่ำสุดคือ เรือดำน้ำขนาด 370 ตัน มีปืนใหญ่และลูกปืน ท่อตอร์ปิโด จำนวน 4 ลำ ราคาลำละ 820,000 บาท กองทัพเรือจึงตกลงสร้างเรือดำน้ำที่ญี่ปุ่น และส่งนายทหารสัญญาบัตรและประทวนไปศึกษาการใช้เรือดำน้ำในญี่ปุ่นด้วย
วสันต์ สุนทรปักษิณ นักแสดงและผู้กำกับภาพยนตร์เจ้าของรางวัลสำเภาทอง คือหนึ่งในทหารเรือที่ถูกส่งไปเรียนเกี่ยวกับเครื่องจักรดีเซลเรือดำน้ำที่ประเทศญี่ปุ่น เมื่อเรียนจบตามหลักสูตรได้ร่วมนำเรือดำน้ำทั้ง 4 ลำกลับประเทศ (ระหว่างการเรียนนี้ วสันต์ได้มีโอกาสไปชมละครเวทีหญิงล้วนคณะทาคาระซึกะที่มีชื่อเสียง และกลายเป็นแรงบันดาลใจให้เข้าวงการแสดงละครในภายหลัง) 

ภาพยนตร์ทั้ง 3 เรื่องนี้เป็นเรื่องของเรือดำน้ำไทยและทหารเรือไทยที่ไปเรียนวิชาเรือดำน้ำในประเทศญี่ปุ่นทั้งหมด โดย รั้วใหม่ทางทะเล เรือดำน้ำ แห่งราชนาวีสยาม (30 นาที) บันทึกการก่อสร้างเรือดำน้ำไทยลำแรกคือ วิรุณ โดยบันทึกให้เห็นการก่อสร้างทุกขั้นตอนสำคัญตามลำดับ ตั้งแต่พิธีวางกระดูกงู เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2479 นอกจากนั้นยังบันทึกให้เห็นภาพและบรรยากาศของเมืองโกเบ และกิจกรรมทางวัฒนธรรมประเพณี เช่น เทศกาลแห่รถบุปผชาติ รวมถึงโฆษณาชวนเชื่อให้เห็นความจำเป็นในการที่สยามต้องมีเรือดำน้ำ ผ่านการแสดงข้อความตัวอักษรในตอนท้ายของภาพยนตร์ กิจวัตรของทหารเรือดำน้ำไทยในญี่ปุ่น (10 นาที) แสดงให้เห็นชีวิตความเป็นอยู่ของคณะนักเรียนทหารเรือดำน้ำไทย ที่ต้องไปเรียนทฤษฎีและฝึกการเป็นลูกเรือดำน้ำเป็นเวลาหลายเดือน พร้อม ๆ กับที่เรือดำน้ำไทย


ภาพ: ประกอบเครื่องยนต์เรือดำน้ำไท

กำลังสร้าง โดยคณะนักเรียนเรือดำน้ำไทยได้รับการจัดให้พักอาศัยและเรียนอยู่ในโรงเรียนมัธยมฟูนาบาชิ จังหวัดฟูนาบาชิ ในการตรวจเยี่ยมของ นายพลเรือ โทชิมาดา รองเสนาธิการทหารเรือ พร้อมด้วยนายทหารฝ่ายเสนาธิการ ในห้องเรียนมีการสอนภาษาญี่ปุ่น การหัดกายบริหารในสนาม  นักเรียนทหารเรือดำน้ำไทยแสดงการเตะตะกร้อวง การเรียนยูโด เคนโด และแสดงมวยไทย คณะนักเรียนทหารเรือไทย ร้องเพลงชาติญี่ปุ่นและเพลงชาติสยาม ก่อน นายพลเรือ โทชิมาดา และคณะลากลับ [พิธีปล่อยเรืออันรุ่งเรืองสดใส] (5 นาที) เป็นภาพยนตร์ข่าวซึ่งผลิตโดยสำนักข่าวของญี่ปุ่น แสดงกิจวัตรประจำวันของเรือดำน้ำไทย ร.ล.สินสมุทร ซึ่งเป็นเรือดำน้ำหมายเลข 3 ภาพยนตร์แสดงให้เห็นการปฏิบัติภารกิจประจำวันบนเรือของลูกเรือ เริ่มต้นด้วยการทำความสะอาดพื้นดาดฟ้าเรือ การทำความสะอาดอาวุธปืน การออกกำลังกายด้วยท่าบริหารร่างกาย ในช่วงท้ายได้เห็นเรือดำน้ำไทยอีก 3 ลำกำลังแล่นอยู่ท่ามกลางกองเรือรบอื่น ๆ ในน่านน้ำญี่ปุ่น

วันที่ 5 มิถุนายน 2481 เรือดำน้ำแห่งราชนาวีไทยถอนสมอเคลื่อนที่ออกจากน่านน้ำแห่งประเทศญี่ปุ่นสู่ประเทศไทยพร้อมกันทั้ง 4 ลำ โดยไม่มีเรือพี่เลี้ยง และเดินทางถึงกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพในวันที่ 29 มิถุนายน 2481 ภาพความฝันเรือดำน้ำของกองทัพเรือไทยได้เกิดเป็นความจริงขึ้นแล้ว แม้จะใช้เวลาเกือบ 30 ปี

เรือดำน้ำทั้ง 4 ลำ ได้รับพระราชทานชื่อภายหลังว่า ร.ล. (เรือหลวง) มัจฉาณุ หมายเลข 1, ร.ล.วิรุณ หมายเลข 2, ร.ล.สินสมุทร หมายเลข 3 และ ร.ล.พลายชุมพล หมายเลข 4 ได้เข้าร่วมปฏิบัติงานในกรณีพิพาทอินโดจีนและในสงครามมหาเอเชียบูรพา จนเมื่อสงครามสิ้นสุดลง ญี่ปุ่นเป็นผู้แพ้สงครามและถูกห้ามการผลิตยุทโธปกรณ์จำหน่ายอีก ส่งผลให้เรือดำน้ำไทยขาดแคลนอะไหล่และจำต้องปลดระวางไปใน พ.ศ. 2494



ภาพยนตร์เกี่ยวกับเรือดำน้ำไทยและต่างชาติที่นำเสนอในบทความนี้ ผู้อ่านที่สนใจรับชมสามารถเข้ามาใช้บริการรับชมได้ที่ห้องสมุดและโสตทัศนสถาน เชิด ทรงศรี ทุกวันอังคาร-อาทิตย์ เวลา 09.30-17.30 น. (หยุดวันจันทร์) โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในการรับชม


*ข้อมูลเรื่องเรือดำน้ำจาก เรือดำน้ำแห่งราชนาวีสยาม โดย ศิริพงษ์ บุญราศรี, 2547
**ข้อมูลการเสด็จประพาสสิงคโปร์ ชวา บาหลี จาก จดหมายเหตุพระราชกิจรายวันพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ภาคปลาย วันที่ 1 มกราคม 2471 - วันที่ 21 ตุลาคม 2475

_______________________________
โดย ธิติพงษ์ ก่อสกุล
ภาพปก: ภาพถ่ายพิธีปล่อยเรือสินสมุทรลงน้ำ มีกล้องถ่ายภาพยนตร์อยู่กลางภาพ
ที่มา: จดหมายข่าวหอภาพยนตร์ ฉบับที่ 89 ประจำเดือนกันยายน - ตุลาคม 2568