มนต์เพลงลูกทุ่ง เอฟ. เอ็ม. หนังไทยปี 2545 เป็นภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายที่ “อาจารย์แดง” กิตติศักดิ์ สุวรรณโภคิน เลือกจัดฉายในรายการฉายหนังและสนทนารายสองเดือนที่อาจารย์จัดมาอย่างต่อเนื่องที่หอภาพยนตร์
รายการ “ดูหนังคลาสสิกกับ กิตติศักดิ์ สุวรรณโภคิน” รอบสุดท้ายนี้ จะมีขึ้นในวันศุกร์ที่ 12 ธันวาคม 2568 แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่ออาจารย์แดงได้จากไปในวันที่ 18 ตุลาคม ท่านจึงไม่ได้มาร่วมพูดคุยกับผู้ชมตามที่ตั้งใจไว้ หอภาพยนตร์จึงได้นำบทวิจารณ์ภาพยนตร์เรื่อง มนต์เพลงลูกทุ่ง เอฟ. เอ็ม. ที่อาจารย์ได้เขียนลงในหนังสือ “Musicals: รวมพลังหนังและเพลง” ฉบับพิมพ์ครั้งแรก โดยสำนักพิมพ์ สตาร์พิคส์ พับลิชชิ่ง เมื่อปี 2550 มาลงไว้ให้ได้อ่าน เพื่อเป็นตัวแทนของบทสนทนาจากอาจารย์ในการฉายหนังครั้งสุดท้ายของรายการนี้
-------------------------------------
มนต์เพลงลูกทุ่ง เอฟ. เอ็ม.
กิตติศักดิ์ สุวรรณโภคิน
ตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือ “Musicals: รวมพลังหนังและเพลง” ฉบับปี 2550
ผมไม่เคยนึกอยากดูหนังเรื่องนี้มาก่อนเลยตอนที่ได้ข่าวการสร้าง การโปรโมท จนถึงตอนที่ฉาย คิดว่าคงจะเป็นแค่หนังเพลงที่ฉวยโอกาสเอาความดังของนักร้องลูกทุ่ง ในขณะนั้นมาขาย ผูกเรื่องหลวม ๆ แค่พอให้นักร้องแต่ละคนได้มีโอกาสโชว์เพลงของตน ก็เลยไม่ได้ไปดูที่โรง
จนกระทั่งในการประกวดหนังชิงรางวัลสุพรรณหงส์ของปีนั้น ผมถึงได้มีโอกาสดู และหนังเรื่องนี้ก็ทำลายล้างความคิดที่มีมาแต่ก่อนของผมได้อย่างสิ้นเชิง
แน่นอน มนต์เพลงลูกทุ่ง เอฟเอ็ม. สร้างขึ้นบนเงื่อนไขด้านธุรกิจ สำคัญที่สุดคือ การโปรโมทสถานีวิทยุลูกทุ่งเอฟเอ็ม. ระดมนักร้องลูกทุ่งทั่วฟ้าเมืองไทย (ซึ่งก็คงเป็นหนี้บุญคุณสถานีวิทยุแห่งนี้อยู่คนละไม่น้อย) เพื่อเรียกคนดู จากเงื่อนไขนี้ ก็มีเงื่อนไขอื่น ๆ ตามมาเป็นพรวน
คิวการถ่ายหนัง ขึ้นอยู่กับคิวของนักร้องเหล่านั้น ใครมีเวลาว่างให้แค่ไหน เพียงไร และที่สำคัญ จะต้องมีฉากที่นักร้องทุกคนมากันพร้อมหน้า
เวลาว่างของนักร้อง คือตัวกำหนดบทหนัง ใครจะมีบทบาทในเรื่องแค่ไหน ขึ้นอยู่กับคิวที่เขามีให้พวกเขาคือนักร้อง ไม่ใช่นักแสดง บทหนังจะทำอย่างไรที่จะให้เขาแสดงให้ได้
ผู้แสดงเป็นตัวเอกมีอยู่สิบกว่าคน ทุกคนจะต้องมีโอกาสได้โชว์เพลงของตน แค่นี้ความยาวของหนังก็คงยิ่งกว่า สุริโยไท (ฉบับสมบูรณ์)

ด้วยเงื่อนไขเหล่านี้ ทีมงานทางด้านบทจึงต้องเข้มแข็งเป็นพิเศษ และก็ระดมกันมาเต็มกำลัง เริ่มจาก ปรัชญา ปิ่นแก้ว เป็นผู้วางแนวความคิด บัณฑิต ทองดี และ พัลลภ สินธุ์เจริญ สร้างเรื่อง พัลลภ สินธุ์เจริญ, ปราณี โมรัษเฐียร, ทรงศักดิ์ มงคลทอง และ วิทยา ศุภพรโอภาส เขียนบทภาพยนตร์ บัณฑิต ทองดี และวิทยา ศุภพรโอภาส สร้างตัวละคร บัณฑิต ทองดี และทรงศักดิ์ มงคลทอง เป็นคนคิดมุข และบัณฑิต ทองดี เป็นผู้กำกับ
โครงเรื่องนั้นเป็นของเก่าที่ใช้กันมาหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีอะไรดีกว่านี้ คือให้สถานี ลูกทุ่ง เอฟเอ็ม.จัดการประกวดร้องเพลงชิงรางวัลเงินล้านบาทขึ้นมา โดยมี ครูลพ บุรีรัตน์ เป็นผู้บริจาคเงินรางวัล จากนั้นก็กระจายบทไปให้นักร้องที่มาร่วมแสดง
เพื่อแก้ปัญหาเรื่องคิวของผู้แสดง บทหนังได้แบ่งนักร้องออกเป็นกลุ่ม ๆ เช่นกลุ่ม ที่มาจากเวทีลิเก ชินกร ไกรลาส แสดงเป็นหัวหน้าคณะลิเก มีลูกชายคือ กุ้ง สุทธิราช วงศ์เทวัญ ที่อยากเป็นนักร้อง ร่วมกับพี่สาว จิ้งหรีดขาว วงศ์เทวัญ และเพื่อน เอกราช สุวรรณภูมิ ในกลุ่มนี้ยังมีนักร้องรุ่นใหม่ที่มาจากลิเกเหมือนกัน คือ แก้วเก้า กรกต และ อาร์ท รณชัย แถมด้วยเจ้าของร้านส้มตำคาราโอเกะ อ้อยใจ แดนอีสาน และ แดน บุรีรัมย์
เพื่อแก้ปัญหาเรื่องคิวของผู้แสดง บทหนังได้แบ่งนักร้องออกเป็นกลุ่ม ๆ เช่นกลุ่ม ที่มาจากเวทีลิเก ชินกร ไกรลาส แสดงเป็นหัวหน้าคณะลิเก มีลูกชายคือ กุ้ง สุทธิราช วงศ์เทวัญ ที่อยากเป็นนักร้อง ร่วมกับพี่สาว จิ้งหรีดขาว วงศ์เทวัญ และเพื่อน เอกราช สุวรรณภูมิ ในกลุ่มนี้ยังมีนักร้องรุ่นใหม่ที่มาจากลิเกเหมือนกัน คือ แก้วเก้า กรกต และ อาร์ท รณชัย แถมด้วยเจ้าของร้านส้มตำคาราโอเกะ อ้อยใจ แดนอีสาน และ แดน บุรีรัมย์
กลุ่มสุพรรณ มี ไวพจน์ เพชรสุพรรณ เป็นผู้ใหญ่บ้านดอนดินเหนียว กับ ขวัญจิต ศรีประจันต์ ลูกบ้านก็มีอาทิ ก้าน แก้วสุพรรณ, แดง จิตรกร และ รุ่ง สุริยา เป็นเจ้าหนุ่มคนขยันว่าที่ลูกเขย ทั้งหมดอยากได้เงินล้านมาเพื่อเป็นทุน ในการสร้างสินค้าโอท็อป
ลูกนก สุภาพร เป็นแม่ค้าผลไม้ที่ใคร ๆ เรียกว่า ลำไย จับคู่กับ อาภาพร นครสวรรค์ ในบทสาวนักร้องคาเฟ่ที่ฝันจะเป็นนักร้องออกเทป
ทศพล หิมพานต์ แสดงเป็นพระบวชใหม่ ที่สึกออกมาสมัครร้องเพลง เพราะ อยากได้เงินล้านไปซ่อมโบสถ์ที่หลังคารั่ว
สุนารี ราชสีมา เป็นสาวโรงงานทอผ้าที่จะเอาเงินไปชดใช้ค่าเสียหายของเครื่องจักร อันเนื่องมาจากเธอเอาแต่ร้องเพลง
สุดา ศรีลำดวน เป็นสาวคาราโอเกะที่ชอบร้องเพลงเองมากกว่าบริการแขก
ดาว มยุรี เป็นสาวไฮโซที่มาร้องเพลงลูกทุ่งเป็นงานอดิเรกเพื่อการกุศล
ศิรินทรา นิยากร เป็นสาวเจ้าของรถบรรทุกที่กำลังมีปัญหาเรื่องหนี้สิน วิภารัตน์ เปรื่องสุวรรณ เป็นแม่ของเธอ เสรี รุ่งสว่าง เป็นพี่ชาย
พล็อตรองของเรื่อง ก็คือจอมโจรพันหน้าที่ออกอาละวาดจี้ปล้นทั่วกรุง เปิดโอกาสให้นักร้องหลาย ๆ คนที่ไม่มีคิวได้หมุนเวียนกันมารับบทนี้คนละฉาก เช่น สมมาส ราชสีมา, เอ๋ พจนา, ยอดรัก สลักใจ, ชาย เมืองสิงห์ และ เอกชัย ศรีวิชัย และผู้ที่ได้รับบทเด่นคือ ยิ่งยง ยอดบัวงาม ในบทนายตำรวจที่รับทำคดีนี้ จนถึงขั้นเข้าร่วมประกวดร้องเพลงกับเขาด้วย
และบทที่แฝงเข้ามาตั้งแต่ฉากแรกของเรื่อง คือ คัทลียา มารศรี ในบทสาวบ้านนา ที่มาตามหาแฟน (เกษม คมสันต์) ซึ่งเข้ามากรุงเทพฯ โดยหวังจะเป็นนักร้อง แต่ก็เป็นได้เพียงคนขนเครื่องดนตรี บทนี้มาสรุปในฉากสุดท้ายได้สวยงามมาก ทำเอาคนดูบางคนถึงกับน้ำตาซึมด้วยความซาบซึ้ง
นั่นเป็นส่วนหนึ่งในความโดดเด่นของบท เริ่มต้นเขาจะปูพื้นสร้างปมต่าง ๆ เอาไว้ให้ ตัวละครทุกคน เช่นความขัดแย้งระหว่างกุ้ง สุทธิราช กับพ่อชินกร ความพยายามของคนหมู่บ้านดอนดินเหนียว ที่จะผลิตสินค้าโอท็อป ความเป็นสาวคาราโอเกะของสุดา แล้วลงท้าย เขาก็ตามเก็บมุขต่าง ๆ เหล่านี้ได้ครบถ้วน ไม่มีตกหล่น แถมด้วยบทสรุปชีวิตของตัวละครแต่ละคน
จาระไนชื่อนักร้องที่มาร่วมงานในหนังเรื่องนี้ได้ไม่หมดหรอกครับ เพราะเขารวมเอาไว้ทั่วฟ้าเมืองไทยจริง ๆ ทั้งที่เป็นนักร้องดังในอดีต ปัจจุบัน และที่กำลังเป็นดาวรุ่งของอนาคต บางคนไม่มีคิวจริง ๆ อย่าง ยุ้ย ญาติเยอะ ก็ตามไปถ่ายกันที่เวทีคอนเสิร์ทของเธอเลย (แถมยังได้มีฉากงานวัดเพิ่มมาอีกหนึ่งฉากด้วย) ขาดไปก็แต่นักร้องในสังกัดแกรมมี่ เช่น ก๊อต จักรพรรณ, จินตหรา พูนลาภ และ ไชยา มิตรชัย เรียกว่าเห็นหน้าใครในหนังเรื่องนี้ ก็เป็นนักร้องหรือคนที่อยู่ในวงการลูกทุ่งทั้งสิ้น
สำหรับสิบกว่าคนที่มีบทเด่นนั้น หนังแจกบทให้เสมอหน้ากัน ไม่มีใครเด่นใครด้อยกว่าใคร การสร้างแคแรคเตอร์ของตัวละครเกือบทั้งหมด เอาตัวจริงเป็นหลัก ผสมกับ เพลงฮิตของแต่ละคน เช่นลูกนกกับเพลง “คุณลำไย” วิธีนี้นอกจากจะช่วยแก้ปัญหาเรื่องการแสดงแล้ว ยังสามารถใส่เพลงเข้าไปได้เต็มที่ไม่มีจำกัด เพราะเมื่อเป็นเพลงฮิตรู้จักกันดีอยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องใส่ไปทั้งเพลง เอาแค่ท่อนเดียว หรือแค่สองสามวรรคในบางกรณี ก็เพียงพอแล้ว สำหรับคนดูที่อยากฟังเพลงเหล่านี้ และสามารถต่อเอาเองได้ นักร้องเกือบทั้งหมดที่มาร่วมแสดง จึงได้มีเพลงของตนประกอบในหนัง เช่น วงร็อคแสลง ในบทวินมอเตอร์ไซค์ และเพลง “มอเตอร์ไซค์ฮ่าง” สมมาส ราชสีมา กับเพลง “ยาย” จากวิทยุ ในร้านสะดวกซื้อ เพลิน พรมแดน เป็นช่างสักในงานวัด เปิดโอกาสให้ ใส่เพลง “ตี๋สักมังกร”

เมื่อบทแข็งแรง ปัญหาต่าง ๆ ก็ล่วงลุไปกว่าครึ่ง ที่เหลือก็เป็นฝีมือของผู้กำกับละครับ บัณฑิต ทองดี เป็นผู้กำกับที่ไม่ได้โด่งดังเป็นพลุเหมือนคนอื่น แต่เขาก็ทำงานแบบตอบโจทย์ได้ดี ไม่ว่าจะเป็นหนังแนวไหน ทั้งหนังตลก หนังผี จนถึงหนังเอ็ฟเฟ็คท์ และฝีมือก็คงเส้นคงวา ที่สำคัญ เขาเป็นผู้กำกับที่แม่นเรื่องจังหวะของหนังมากๆ มุขที่ยิง ออกมาแต่ละครั้ง จึงตรงเป้า เด็ดที่สุดคือมุขคุณลำไยของลูกนก จัดว่าเป็นฉากที่ดีที่สุด ฉากหนึ่งของเรื่องเลยทีเดียว อย่างน้อยก็เป็นฉากที่ผมชอบที่สุด
เริ่มต้นด้วยลูกนกนั่งบ่นเรื่องไม่ชอบที่ใครต่อใครก็เรียกเธอว่าลำไย “ถ้าเมื่อก่อน ชั้นขายมะขวิด ชั้นมิต้องชื่อนังมะขวิดหรือ” จากนั้นก็เร่งจังหวะให้ใครต่อใครพากันเรียก “ลำไย” กันแบบกระชั้น แล้วก็ตัดภาพผึง ลูกนกไปคว้าขนนกคล้องไหล่มาจากไหนก็ไม่รู้ พร้อมๆกับหางเครื่องที่เรียงมาเป็นแถว “...เชอร์รี่ น้องแอนน์ น้องไวน์...” ก่อนจะตัด ภาพกลับไปที่ลูกนกนั่งเหม่อ แล้วมีเด็กมาเรียก “พี่ลำไย” ปิดท้ายอีกที
มนต์เพลงลูกทุ่ง เอฟเอ็ม อาจจะไม่ใช่หนังเพลงในรูปแบบ Musical ที่สมบูรณ์ อาจจะด้อยในเชิงศิลปะกว่าหนังบางเรื่อง อย่าง เทพธิดาบาร์ 21 และ เงิน เงิน เงิน ของ ยุทธนา มุกดาสนิท แต่ในด้านการให้ความบันเทิง ซึ่งถือเป็นหน้าที่สำคัญที่สุดของหนังเพลง มนต์เพลงลูกทุ่ง เอฟเอ็ม. ก็ทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ และเป็นหนังในดวงใจ ของผมอีกเรื่องนึงละครับ
--------------------------