กุสตาฟ ดอยช์ (Gustav Deutsch) เป็นหนึ่งในนักทำหนังที่สร้างงานจากกรุหนัง ขุดค้นเข้าไปในห้องฟิล์มเพื่อรื้อค้นภาพเก่าเก็บจากหอภาพยนตร์ และนำสมบัติภาพเคลื่อนไหวที่ได้มา เรียงร้อยต่อกันเพื่อสร้างงานใหม่ สร้างความหมายใหม่ให้กับภาพ และในระหว่างทาง ร่วมแสวงหาขอบเขตของนิยามคำว่าภาพยนตร์
ช่างภาพ สถาปนิก และคนทำหนังชาวออสเตรีย กุสตาฟ ดอยช์ เสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายนที่ผ่านมาด้วยวัย 67 ปี ถึงจะเป็นศิลปินที่ทดลองทำงานในหลากหลายสาขา ตั้งแต่ภาพนิ่งถึงละครเวทีและสถาปัตยกรรม ผลงานอมตะของดอยช์คือภาพยนตร์ไตรภาค Film ist. ที่สร้างในปีค.ศ.1996, 2002 และ 2009
งานเทศกาลภาพยนตร์สั้นครั้งที่ 23 ที่หอภาพยนตร์จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 14 ถึง 22 ธันวาคมนี้ จะจัดฉาย Film ist. ทั้งสามภาคของกุสตาฟ ดอยช์ เป็นการรำลึกถึงการจากไปของนักคิดและนักทำหนังท่านนี้
งานของดอยช์เป็นสิ่งที่ตอกย้ำให้เห็นถึงความสำคัญของการเก็บรักษาและอนุรักษ์ภาพยนตร์เก่า เพราะในแต่ละตอนของ Film ist. ดอยช์ใช้ภาพจากหนังเก่า ทั้งหนังวิทยาศาสตร์ หนังเพื่อการศึกษา รวมทั้งหนังเรื่องและสารคดีธรรมชาติ นำมาตัดต่อใหม่และเล่นกับเทคนิคทางภาพ (เช่นสปีด หรือการหยุดภาพ) และสร้างงานที่น่าฉงน น่าตื่นเต้น น่าตกใจ เป็นทั้ง film essay และหนังทดลอง เป็นทั้งการเฉลิมฉลองกรุสมบัติที่ถูกลืมเลือน และเป็นการปัดฝุ่นประวัติศาสตร์ภาพยนตร์เพื่อแสวงหาความหมายและความเป็นไปได้ของสื่อภาพเคลื่อนไหว ภาพส่วนใหญ่ในหนังของดอยช์มาจาก Netherlands Fimmuseum และจากหนังโบราณที่แม้แต่นักประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ก็ไม่ได้สนใจหรือลืมไปแล้วว่ามีอยู่
Film ist เป็นภาษาเยอรมัน แปลเป็นอังกฤษคือ Film is นี่เป็นการเล่นคำ หรืออาจจะเป็นปริศนาทางปรัชญากลายๆ หากเราลองแปลเป็นไทย Film is แปลว่า “ฟิล์มคือ” นี่คือประโยคคำถามที่ให้เราเติมคำตอบข้างหลังหรือไม่ว่า “ฟิล์มคืออะไร?” (อย่างที่อังเดร บาแซงเคยถามว่า What is cinema?) หรืออย่างที่นักวิชาการชื่อทอม กันนิ่ง บอกไว้ว่า จริง ๆ แล้วนี่ไม่ใช่ประโยคคำถาม แต่เป็นประโยคที่สมบูรณ์ในตัวเองแล้ว ดังนั้น Film is ของดอยช์ต้องแปลว่า “ฟิล์มคือ” หรือ “ฟิล์มเป็น” หมายความถึงการมีอยู่ เป็นอยู่ คงอยู่ของฟิล์มและภาพยนตร์ เป็นการประกาศสถานะของสื่อนี้ ณ ขณะเวลานี้และการคงอยู่ของมันสืบไป
Film ist. แต่ละ “ภาค” แบ่งแยกย่อยออกเป็นบทเล็กๆ ใน Film Ist. (1-6) ที่สร้างในปี 1996 มีหกบทย่อย Film ist. (7-12)ในปี 2002 มีอีกหกบทย่อย และ FILM IST. a girl & a gun เป็นภาคสุดท้าย
ในภาคแรก ดอยช์ใช้ภาพจากหนังการทดลองทางวิทยาศาสตร์ นำเสนอในฐานะภาพแบบไม่มีบริบท ทั้งภาพการเคลื่อนไหวร่างกาย แก้วตกแตก นกกำลังออกบิน โรงงานอุตสาหกรรม การทดลองรถยนต์ และอื่น ๆ ผลลัพธ์คือภาพที่หลั่งไหลเป็นกระแสที่ทั้งน่าตลก น่ากลัว เหมือนความฝัน และเหมือนภาพจากโลกที่เราไม่รู้จัก เป็นทั้งรูปธรรมและนามธรรมในตัวเอง ลื่นไหลและท้าทายแนวคิดที่หนังสร้างขึ้นในแต่ละองก์ย่อย (เช่น Light and Darkness, Moment and time, An instrument และอื่น ๆ)